លោកវេជ្ជបណ្ឌិតឆុនលៈធិតកើតនៅខេត្តតាក ជាកូនលំដាប់ទី 4 នៃចំនួនបងប្អូន 5 នាក់។ ក្នុងវ័យកុមារភាពលោកជាក្មេងដែលរៀនមិនពូកែទេ ភាគច្រើនលទ្ធផលការសិក្សារបស់លោកនៅលំដាប់ចុងក្រោយ។ ប៉ុន្តែលោកខិតខំប្រឹងប្រែងរៀនព្រោះចង់ប្រឡងឱ្យជាប់នៅសាលារៀនត្រៀមឧត្តម ឱ្យដូចបងរបស់លោក។ ចាប់ពីនោះមកលោកតែងតែទទួលបានលទ្ធផលលេខ 1 ជានិច្ច ។ ទោះជាយ៉ាងណាក៏ដោយលោកនៅតែមិនអាចប្រឡងជាប់នៅសាលារៀនត្រៀមឧត្តមបានទេ ទើបលោកសម្រេចចិត្តរៀនបន្តនៅសាលារៀនវត្តបវរ ដោយឆ្នាំដំបូងលោកក៏បានលទ្ធផលលេខមួយប្រចាំសាលា។
ในอดีตนั้นนายแพทย์ชลธิศตั้งเป้าหมายว่าอยากเรียนวิศวกร แต่คุณแม่บอกว่าให้เรียนหมอดีกว่า เพราะถ้าแม่แก่แล้วจะได้ดูแลแม่ นายแพทย์ชลธิศจึงเบนเข็มมาเรียนทางด้านการแพทย์ที่มหาวิทยาลัยมหิดล และในปีสุดท้ายที่ต้องเลือกเรียนแพทย์เฉพาะทาง ในตอนแรกคุณหมออยากเป็นหมอสูติ เพราะชอบการผ่าตัด แต่สุดท้ายก็รู้สึกว่าไม่ใช่ทาง จึงตัดสินใจจะไปเรียนต่อที่อเมริกา แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เพราะอเมริกาประกาศปิดรับหมอต่างชาติ แต่ก่อนหน้านี้คุณหมอได้ทำการแลกแผนกกับเพื่อนที่อยู่ แผนกหูคอจมูกแล้ว ทำให้นายแพทย์ชลธิศได้ศึกษาอยู่ในแผนกหูคอจมูก ที่โรงพยาบาลศิริราลมานับตั้งแต่นั้น
វិថីសល្យពេទ្យរបស់លោកគឺចាប់ផ្ដើមពីវេជ្ជបណ្ឌិតឆើន ប្រធានផ្នែកត្រចៀកច្រមុះបំពង់កនៅមន្ទីរពេទ្យសិរិរ៉ាត ដែលបានឃើញលោកវេជ្ជបណ្ឌិតឆុនលៈធិតវះកាត់រហូតមក ទើបវេជ្ជបណ្ឌិតឆើនបានណែនាំវេជ្ជបណ្ឌិតឆុនលៈធិតទៅរៀនតខាងវះកាត់កែសម្ផស្សផ្ទៃមុខ ដោយសង្ឃឹមថាលោកវេជ្ជបណ្ឌិតឆុនលៈធិតអាចនាំចំណេះខាងវះកាត់ទៅជួយអ្នកដទៃបាន។ លោកវេជ្ជបណ្ឌិតឆុនលៈធិតបានចាប់ផ្ដើមរៀនផ្នែកវះកាត់កែសម្ផស្សផ្ទៃមុខនៅមន្ទីរពេទ្យភូមិភុនជាមួយនិងលោកគ្រូឧត្តមសេនីយត្រីថាយ៉ាត សុខបំរុង ដែលពេលនោះទើបតែចប់ការសិក្សាឯកទេសវះកាត់កែសម្ផស្សផ្ទៃមុខមកពីអាមេរិក។
(ปี ค.ศ. 1980)
นายแพทย์ชลธิศมุเรียนทางด้านศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าได้2 ปี ก็ได้กลับมาเป็นศัลยแพทย์ และเป็นอาจารย์สอนให้กับรุ่นน้องในแผนกศัลยกรรม ที่โรงพยาบาลศิริราช ที่เป็นแผนกเปิดใหม่ย่อยจากแผนกหูคอจมูก โดยได้ทำการรักษาคนไข้ควบกับการทำ Plastic Surgery โดยในสมัยนั้นการทำศัลยกรรมเป็นการรักษาโรคมากกว่าที่จะทำเพื่อความงาม น้อยคนนักที่จะเข้ามาทำเพื่อความสวยงาม ซึ่งคุณหมอก็เก็บเกี่ยวประสบการณ์การผ่าตัดPlastic Surgery จากตรงนี้ โดยทำฟรีให้กับคนที่ต้องการเข้ามาทำ เพื่อเป็นเคสสตัดดี้ในการซ้อมมือ และสอนลูกศิษย์ไปในตัว
หลังจากนั้นประมาณ10 ปี วงการศัลยกรรมก็เปิดกว้างมากขึ้น มีผู้หญิงมาทำศัลยกรรมเยอะขึ้น ส่วนใหญ่ก็จะมาทำตาสองชั้น และเสริมจมูก จากที่เคยทำให้ฟรีก็เริ่มมีการเก็บเงิน จาก 200 เป็น 2000โดยนำเงินนั้นไปช่วยคนไข้อนาถา และเอาไปช่วยทางด้านการศึกษา
រហូតមកដល់ពេលដែលវេជ្ជបណ្ឌិតឆុនលៈធិតបានប្ដូរមកជាសល្យពេទ្យ លោកបានមានឱកាសទៅទស្សនកិច្ចសិក្សានៅបរទេសច្រើនដង ដូចជា ជប៉ុន អាមេរិក ដើម្បីនាំចំណេះដឹងមកផ្ទេរជូនកូនសិស្សនៅមន្ទីរពេទ្យសិរិរ៉ាត។ លោកយល់ឃើញថាមុខវិជ្ជាការវះកាត់កែសម្ផស្សនោះជារឿងរៀងខ្លួនរបស់ប្រទេសនិមួយៗ រូបរាងរបស់មនុស្សម្នាក់ៗខុសគ្នា ត្រូវគិតបណ្ដើរធ្វើបណ្ដើរ និងអភិវឌ្ឍផ្លាស់ប្ដូរជានិច្ច។
(ปี 2000)
นายแพทย์ชลธิศเคยผ่าตัดศัลยกรรมตาสองชั้นแบบกรีดยาว ซึ่งเป็นเทคนิคสมัยเก่า ส่วนใหญ่นั้นจะทำเพื่อรักษาคนไข้สูงอายุที่มีปัญหาโรคขนตาทิ่มตา น้ำตาไหลแฉะ ก่อนที่จะค่อยๆ ลดขนาดแผลลงจนกลายเป็นจุดเล็กๆ และทำเพื่อเสริมความงามในปัจจุบัน จนสามารถเรียกได้ว่าเทคนิคการทำตาสองชั้นแบบเจาะรูเล็กๆ ที่เปลือกตานั้น นายแพทย์ชลธิศคิดค้นได้เป็นคนแรกของโลกก็ว่าได้
ច្រមុះវៀច។លោកវេជ្ជបណ្ឌិតឆុនលៈធិតបានបង្កើតបច្ចេកទេសព្យាបាលអ្នកជំងឺឱ្យត្រឡប់មកមានស្ថានភាពល្អដូចដើមវិញ។ លោកបានយកខ្លាញ់ចេញពីពោះមកប្រើនៅច្រមុះ រហូតដល់អ្នកជំងឺបានជាសះស្បើយ ហើយបានក្លាយជាបច្ចេកទេសដំបូងនៅលើពិភពលោក។
นอกเหนือจากการผ่าตัดศัลยกรรมตาสองชั้น และเสริมจมูก นายแพทย์ชลธิศยังคิดค้นเทคนิคการผ่าตัดศัลยกรรมดึงหน้าให้เต่งตึง ที่เรียกว่า Face Lock-Face Lift ที่นอกจากจะช่วยเรื่องความสวยความงามแล้วนั้น จุดกำเนิดมาจากที่นายแพทย์ชลธิศต้องการที่จะให้เป็นส่วนหนึ่งของการศัลยกรรมของการรักษาและช่วยฟื้นฟูความชรา เพราะเมื่อคนเราอายุมากขึ้นแล้วความหย่อนคล้อยก็จะมา มีร่องน้ำหมาก ที่จะทำให้น้ำลายออกมาตรงมุมปาก หรืออาจจะทำให้ขนตาบริเวณหางตาทิ่มตาเนื่องมาจากชั้นตาตก ทั้งหมดนี้เป็นเพราะความเปลี่ยนแปลงของร่างกายเมื่อมีอายุที่เพิ่มมากขึ้น และความหย่อนคล้อย ซึ่งการทำศัลยกรรมดึงหน้านั้นช่วยเปลี่ยนแปลง และช่วยแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้
ซึ่งปัจจุบันศัลยกรรมดึงหน้าFace Lock-Face Lift เป็นอีกหนึ่งการทำศัลยกรรมที่ขึ้นชื่อของนายแพทย์ชลธิศเป็นอย่างมาก ผ่าตัดมาแล้วมากกว่า 100 เคส อีกทั้งยังนำเอาความรู้ ประสบการณ์ในการผ่าตัดศัลยกรรมดึงหน้าไปเผยแพร่ให้ศัลยแพทย์ทั่วโลก จึงได้รับเชิญให้เป็นอาจารย์ไปสอนทั้งในยุโรปอเมริกาและกลุ่มประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งญี่ปุ่น เกาหลี และจีน อีกทั้งยังเป็นผู้คิดค้นเทคนิคการทำศัลยกรรมให้ตอบโจทย์กับทุกปัญหาการศัลยกรรมใบหน้า ให้ได้มาตรฐานอย่างมีคุณภาพ รวมถึงยังมีจิตใจที่ดูแลคนไข้ทุกคนเสมือนเป็นคนในครอบครัว มอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับคนไข้ที่เข้ามาใช้บริการ และสังคม เพื่อเป็นแบบอย่างแก่จรรยาบรรณวงการศัลยแพทย์ในประเทศไทย