ไหมที่ใช้ในการร้อยไหมมีกี่แบบ
ประเภทของไหมที่มักถูกนำมาใช้ในการร้อยไหม และบอกข้อดี ข้อเสีย รวมถึงผลหลังการร้อยไหม แต่ละแบบ
การចាក់ខ្សែវេជ្ជសាស្ត្រក្រោមស្បែកเป็นอีกหนึ่งวิธีการยกกระชับ และการปรับรูปหน้า ที่เป็นที่นิยมอย่างสูง ตามคลินิก และโรงพยาบาล เพื่อการศัลยกรรมต่างๆ โดยไหมที่นำมาใช้มักจะเป็นไหมละลาย ซึ่งมีหลายรูปแบบทีเดียว แต่ไหมที่มักจะนำมาทำการร้อยไหมเข้าใบหน้าของผู้รับบริการ มีเพียง 4 แบบ
ประเภทของไหม ที่นิยมนำมาทำการร้อยไหม มีดังนี้
ไหมละลาย PDO แบบเรียบ เป็นไหมละลายที่ถูกพัฒนาขึ้นมาโดยชาวเกาหลี นอกจากจะปลอดภัย และลดโอกาสในการแพ้แล้ว ยังสามารถที่จะขับออกจากร่างกายได้เองเมื่อระยะเวลาผ่านไป 6-8 เดือน โดยหลังการร้อยไหม จะเห็นผลทันทีประมาณ 20-30 เปอร์เซ็นต์ แต่จะเห็นผลชัดเจน เมื่อผิวหน้าของเราเข้าที่ ประมาณ 6-8 เดือน และเห็นผลเป็นเวลานานถึง 2 ปีเป็นอย่างต่ำ
ไหมละลายPDO แบบมีเงี่ยง(ไหมก้างปลา) เป็นเทคโนโลยีการร้อยไหม ที่เป็นที่นิยมไม่น้อยทีเดียว สำหรับคนไทย เพราะเห็นผลอย่างรวดเร็วในการช่วยยกกระชับใบหน้า และสามารถที่จะช่วยเปลี่ยนรูปหน้าให้ดูเรียวเล็ก และเต่งตึงขึ้นทันทีหลังการทำเสร็จ
ไหม PGA (ไหมกรวย) มีลักษณะคล้ายกับไหมก้างปลา แต่มีระยะเวลาในการกำจัดออกจากร่างกายของเราช้ากว่าไหมละลายแบบ PDO จึงทำให้ผลลัพธ์หลังจากการทำการចាក់ខ្សែវេជ្ជសាស្ត្រក្រោមស្បែកอยู่ได้นานกว่า แต่อย่างไรก็ตาม การใช้ไหมกรวยในการร้อยไหม ต้องใช้ความระมัดระวังมาก เพราะส่วนที่เป็นกรวยอาจจะบาดผิวหน้าได้ ในกรณีที่ผู้รับบริการเป็นคนผิวค่อนข้างบาง
ไหมทองคำ เป็นไหมแบบไม่ละลาย และจะอยู่บนใบหน้าของผู้รับบริการได้เป็นระยะเวลานาน ด้วยคุณสมบัติของทองคำ จะช่วยในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้กับผิว แต่อย่างไรก็ตาม ไหมประเภทนี้ มีราคาแพง และมีข้อต้องระวังค่อนข้างมาก ทั้งในเรื่องของการเข้าเครื่องสแกนต่างๆ รวมไปถึงการต้องงดทำเลเซอร์บางชนิด ที่อาจจะก่อให้เกิดความร้อน และทำให้ใบหน้าผิดรูปได้
การจะใช้ไหมประเภทไหนในการចាក់ខ្សែវេជ្ជសាស្ត្រក្រោមស្បែកขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแพทย์ และความต้องการของผู้รับริการเป็นหลัก ว่าต้องการผลแบบไหน ซึ่ง สามารถสอบถามข้อมูลได้ผ่านทางเว็บไซต์ teerapornclinic.com